เทศน์เช้า

ทานในศาสนา

๒ ม.ค. ๒๕๔๔

 

ทานในศาสนา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระ.. วันพระต้นเดือนด้วย เวลาวันพระเราทำบุญกุศลกัน เห็นไหม วันพระเมื่อก่อนเป็นวันหยุดนะ วันโกนวันพระเป็นวันหยุดเพื่อจะให้เรามาฟังธรรมกัน เวลาไปทำบุญกุศลแล้วมันจะได้ฟังธรรมเพื่อเข้ามาถึงหัวใจด้วย เข้ามาถึงหัวใจไง

เพราะว่าเราเข้าใจกันว่าทางโลกนะ เข้าใจกันว่าเราหาอยู่หากินมันเป็นความจำเป็น มันเป็นความจำเป็น ส่วนการดำรงชีวิตนะการดำรงชีวิตจำเป็น แต่ศาสนามันสอนมากกว่านั้น สอนถึงความสุขความทุกข์ในหัวใจ เรื่องจริงนะ เรื่องจริงคือความสุขความทุกข์จริงๆ มันในหัวใจ เรายังจน ยังทุกข์ยังจนอยู่ เราก็แสวงหาเพื่ออยากจะมีอยากจะเป็นอย่างเขา พอมีมาเป็นอย่างเขาแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะว่ามันก็จะแสวงหาไปเรื่อยๆ แสวงหาไปเรื่อย แสวงหาจนกว่า.. ถึงที่สุดมันก็ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้จริงๆ ถ้าคนอย่างนั้นนะ

แต่ตอนนี้เพราะมันมีความหวังนี่มาบังไว้ไง มันมีความหวังความต้องการมาบังหน้าไว้ เราก็คิดแต่ความหวัง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะสมหวัง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะสมหวัง แล้วไม่เคยสมหวัง ไม่เคยสมหวังเราก็แสวงหาไป การแสวงหาไป เห็นไหม แสวงหาไปเรื่อยๆ มันก็สุกๆ ดิบๆ ไปประสาเรานี่แหละ ครึ่งๆ กลางๆ ไปตลอด เห็นไหม เพราะครึ่งๆ กลางๆ เราถึงทำอะไรไม่ได้ผลกัน เราจับจดกันแล้วก็ไม่ได้ผล

ถ้าเราทำได้ผล มันอยู่ที่อำนาจวาสนาเหมือนกัน นางสุชาดา เห็นไหม ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่นางสุชาดาเป็นคนถวายบิณฑบาตพระพุทธเจ้าครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ไง ในพระไตรปิฎกว่า “การถวายอาหารที่มีบุญมีกุศลมากมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคราวนางสุชาดาถวายอาหาร แล้วพระพุทธเจ้าฉันอาหารมื้อนั้นแล้วตรัสรู้ซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสสิ้นออกไปจากใจ กับคราวหนึ่งนายจุนทะถวายอาหาร พระพุทธเจ้าฉันอาหารมื้อสุดท้ายแล้วถึงขันธนิพพาน”

ถึงขันธนิพพานคือตายจากขันธ์ไป แต่กิเลสนิพพานนะ ชำระกิเลสออกไปจากหัวใจ แต่หัวใจก็ยังมีอยู่ในร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเป็นคนดี ทำคุณงามความดี เพราะฉันอาหารมื้อนั้นเข้าไป พลังงานอันนั้นเข้าไป บุญกุศลมากๆ ตรงนั้น

นี่เราก็เหมือนกัน เราพยายามถวาย เราพยายามหาเพื่อบุญเพื่อกุศลกันอยู่ เห็นไหม อย่างว่าต้องการถวายอาหาร เป็นวันพระเพื่อให้พระได้ดำรงชีวิตไว้ เพื่อแสวงหาสิ่งนั้น ถ้าพระทำได้ ถ้าทำได้ ใครจะไปรู้ ใครไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วเขาฉันอาหารของเราไปแล้ว เขาจะได้ความสงบในใจดวงนั้นไหม ใจดวงนั้น มื้อนั้น วันนั้น ความสงบจะสงบขึ้นไหม?

ถ้าสงบขึ้นมา วิปัสสนาขึ้นมา บุญกุศลมันตกถึงเรา ตกถึงเรานะ ไอ้อย่างนี้มันก็ว่า เพราะว่าพลังงานอันนั้นเกิดขึ้นมาจากบิณฑบาตมา จากภัตตาหารที่โยมถวายมา เห็นไหม บุญกุศลมันอยู่ตรงนั้น เราแสวงหากัน

บุญกุศล ๒ คราวที่มีมาก มากเพราะ! เพราะว่าปกติเรากินข้าวกันทุกวันๆ พระก็ฉันกันทุกวันๆ ฉันไปแล้วมันก็แล้วอยู่อย่างนั้น แต่ฉันไปแล้วพลังงานมันเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เพราะเวลามันวิปัสสนาไปมันจะขาดนะ การวิปัสสนาไป วิปัสสนาจิตเข้าไป มันวิปัสสนาจิตเข้าไป วิปัสสนาจิตหรือกาย แต่ตัวที่เห็นนั้นคือตัวจิตแท้ ตัวพลังงานแท้ ตัวพลังงานนั้นคือบริสุทธิ์ไง

นี่ซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสมันอยู่ที่หัวใจนั้น ชำระกิเลสออกไปจากใจ พอชำระกิเลสออกไปจากใจแล้ว ใจดวงนั้นอีก ๔๕ ปีเป็นคุณประโยชน์มาก เป็นคุณประโยชน์กับโลกนะ เป็นผู้สอนเทวดา สอนพรหม สอนโลกเรา เห็นไหม สอนไปทั้งหมด คนๆ เดียวทำกิเลสสิ้นออกไปจากใจ แล้วปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วย

พระพุทธเจ้าถึงว่าเป็นพุทธวิสัย เป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ จะรู้เรื่องจิตของทุกๆ คน จะรู้เรื่องความคิดของทุกๆ คน เห็นไหม ความคิดอันนั้นเป็นความคิดนี่ ความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะสะสมมาแต่เบื้องหลังไม่เหมือนกัน ความสะสมมาจากเบื้องหลังไม่เหมือนกันนั่นน่ะ มันถึงว่าเขาเรียกจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยมันไม่เข้าไปตรงกับความคิดความเห็นของตัว มันจะโต้แย้ง มันจะขัดแย้ง ถ้าเข้าไปตรงกับความคิดความเห็นของตัว มันจะดูดดื่มกับความคิดความเห็นของตัว

แต่ขณะที่ว่าวิปัสสนาไป วิปัสสนาพลังงานนั้น พลังงานคือว่าธรรมจักรมันหมุนขึ้นไป สมาธิเกิดขึ้น ความเห็นเกิดขึ้น มันตรงกับจริตนิสัยของตัวด้วย แล้วมันมีพลังงานของธรรมจักรที่เข้าไปชำระกิเลสอีกด้วย มันตรงพอดี ถ้าไม่ตรงพอดี เราสร้างขึ้นไปมันยังคัดมันยังง้างกันไป แต่ถ้ามันตรงพอดี นี่พุทธวิสัยจะรู้เรื่องอย่างนี้

คนเกิดมาพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาร่วมสหชาติ มันจะได้โอกาสตรงนี้มากเลย เข้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะชี้ทีเดียว ชี้ทีเดียวนะ ชี้เพราะอะไร? เพราะท่านเห็น เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ การเกิดการตายของสัตว์โลกท่านเห็นหมด ท่านเข้าใจหมด ท่านชี้ได้หมด ว่าเรานี่จริตนิสัยเป็นอย่างไร อุบายวิธีการจะชำระกิเลสจะทำอย่างไร

แต่เราไม่เห็นตรงนั้น เราไม่รู้ตรงนั้นกัน เพราะว่าไม่ใช่พุทธวิสัย แต่ถ้าเป็นเอตทัคคะแต่ละชั้นละตอนก็มีเหมือนกัน แต่น้อยกว่า

ถึงบอกว่าพอมันชำระกิเลสอันนั้นออกไป แล้วถ้าจริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน มันย้อนกลับมา ชี้นำมา พอชี้นำนี่โอกาส โอกาสของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน โอกาสของเราก็พบพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พบพระพุทธศาสนา เห็นไหม แล้วศาสนาพุทธ ศาสนาสอนเรื่องตรงไหน?

นี้เราศึกษาเรื่องศาสนา เราต้องศึกษาเข้าไปให้ถึงตรงแก่นของมันไง แก่นของมัน พลิกหัวใจ ศาสนาคือการพลิกหัวใจจากความสกปรกให้เป็นสะอาดขึ้นมา ถ้าจากความสกปรกเป็นความสะอาดขึ้นมา อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สะอาดขึ้นมาแล้ว อีก ๔๕ ปีเป็นประโยชน์ทั้งหมดเลย

แล้วคิดดูสิ เวลาท่านจะปรินิพพาน เห็นไหม จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ จะตายไปก็ตายได้ คนที่สิ้นกิเลสแล้วจะอยู่ก็ได้ จะตายก็ได้ บอกพระอานนท์ไว้ถึง ๑๖ ครั้งนะ ถ้าพระอานนท์นิมนต์ไว้ เพราะว่าการอยู่และการตาย คือว่าทุกอย่างแล้วเป็นความบริสุทธิ์ มันเป็นกลางไปหมด เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา ใจนี้เป็นพระนิพพานแล้วไม่มีสิ่งใดให้ค่าได้ มันสูงกว่าทุกอย่าง การมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้น การตายไปก็เท่านั้น มีค่าเท่ากัน ถึงบอกว่าถ้าไม่มีเหตุไม่มีผลก็ต้องเป็นไปตามอายุขัย ถ้ามีเหตุมีผล เห็นไหม มันสำคัญที่เหตุที่ผลนั้น

“ถ้าพระอานนท์นิมนต์ไว้จะปฏิเสธถึง ๒ หน ครั้งที่ ๓ เราจะรับนิมนต์ของเธอ” นี่อยู่ในพระไตรปิฎก “เราจะปฏิเสธเธอ ๒ ครั้ง ปฏิเสธก่อนใน ๒ ครั้ง ถ้าพระอานนท์นิมนต์ถึงครั้งที่ ๓ เราจะรับนิมนต์ของเธอ แต่บัดนี้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว..วันมาฆบูชา อีก ๓ เดือนข้างหน้าวันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน”

พอปลงอายุสังขารเท่านั้นโลกธาตุนี้หวั่นไหวไปหมด พระอานนท์เห็นความแปลกประหลาด จึงเข้าไปถามพระพุทธเจ้าไงว่า

“สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นเป็นแล้ว เป็นเพราะเหตุไร?”

“เป็นอย่างนี้โดยปกติอานนท์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้หนึ่ง พระพุทธเจ้าปรินิพพานหนึ่ง โลกธาตุจะหวั่นไหวเป็นอย่างนั้นเป็นปกติ”

พระอานนท์เลยรู้ไง พอรู้ว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้วก็เลยมาขอทีหลัง เห็นไหม เพราะปลงอายุสังขารแล้ว ความจริงมันเกิดขึ้นแล้ว

นี่บอกว่าการเกิดและการตายไม่มีค่าในหัวใจดวงนั้น ปรารถนาจะอยู่ก็อยู่ได้ อย่างพวกเราปรารถนาจะอยู่อยู่ไม่ได้ หมดสิ้นบุญแล้วก็สิ้นบุญไป แต่ผู้ที่ว่าเจริญอิทธิบาท ๔ เห็นไหม ดูจิตอยู่ ใคร่ครวญนะ อิทธิบาท ๔ ดูจิต เพ่งจิต ความพอใจ เห็นไหม ความพอใจอยู่ แต่ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่ไขว่คว้า ไม่เอาไว้ไง แต่พระอานนท์นิมนต์ก็เอาไว้

ความบริสุทธิ์ของใจเป็นอย่างนั้น ของใจดวงนั้นแผ่ออกมาถึงพวกเรา มันถึงว่าเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ความเมตตาขึ้นมา เพื่อประโยชน์ของโลกทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของโลกธาตุ เห็นไหม ถ้ามีชีวิตอยู่ยังมีประโยชน์กับโลกธาตุ แต่ถ้าตายไปแล้วก็เป็น เพราะวางธรรมและวินัยไว้เป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยนี้ให้เราพยายามเข้าถึงตลอดไป

แต่พอสิ้นไปแล้ว ตอนที่ว่าฉันอาหารของนายจุนทะเป็นมื้อสุดท้าย คนมองกันว่าการสิ้นไปมันเป็นความไม่ดีไง ฉันอาหารของนางสุชาดานี่ตรัสรู้ซึ่งกิเลสนิพพาน เป็นประโยชน์กับโลก ๔๕ ปี แล้วฉันอาหารของนายจุนทะตายไป สิ้นขันธนิพพาน ขันธ์กับธาตุแตกออกจากกัน มันเป็นบุญกุศลตรงไหน?

มันเป็นบุญกุศลคนสุดท้ายไง มันเป็นระยะผ่าน สอุปาทิเสสนิพพานคือจิตนี้บริสุทธิ์อยู่ แต่มีขันธ์ ๕ กับร่างกายยังขับเคลื่อนกันไปอยู่เป็นปกติของมัน เห็นไหม มันสะอาดในหัวใจดวงนั้น แต่เศษส่วน สอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่กับพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมีค่าเท่ากัน ตั้งแต่วันที่สิ้นกิเลสแล้ว ใจนั้นสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน แม้แต่ครองอยู่ในร่างนั้น ร่างนั้นเป็นธาตุเหมือนเรา เหมือนปุถุชน เหมือนกับมนุษย์เรา แต่หัวใจนั้นสะอาดบริสุทธิ์

แล้วอยู่ในร่างกายนั้น ฟอกร่างกายนั้น เห็นไหม เวลาตายไปนะ ถึงว่าพระอรหันต์เวลาเผาศพขึ้นมาถึงเป็นพระธาตุ พระธาตุเพราะจิตดวงนั้นฟอกใจดวงนั้นอยู่ ฟอกร่างกายอันนั้นอยู่ แล้วถึงเวลาแล้วร่างกายมันก็เป็นสมมุติ เพราะมันเศษส่วน เศษส่วนคือความจำเดิม ขันธ์ ๕ ยังมีอยู่ ยังใช้ได้อยู่ คำพูดคำสื่อนี้เหมือนกัน กิริยาการสื่อเหมือนกัน

ดูอย่างพระสารีบุตร เห็นไหม เขานิมนต์ไปฉันอาหาร โดดข้ามร่องนาเขา “พระอรหันต์ทำอย่างนี้ได้อย่างไร?” โยมเขานิมนต์พระสารีบุตรไปฉันที่บ้าน แล้วเดินไปตามร่องสวน โดดข้ามๆ “พระสารีบุตรทำอย่างนี้ได้อย่างไร?” เพราะพระสารีบุตรเป็นอัครสาวก

นี่สันดาน ความเป็นไปของใจเคยใจมันคือกิริยา มารยาท สันดานแก้ไม่ได้ สันดานนี้เป็นเรื่องปกติ สันดานคือความเคยชิน แต่กิเลสนั้นสามารถแก้ไขได้ นี่จิตที่บริสุทธิ์แล้ว ถึงว่ามีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ว่าอยู่ในความนิ่มนวล แต่พระแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกัน เห็นไหม ธาตุขันธ์ จริตนิสัยไม่เหมือนกัน

มันก็เหมือนกับตั้งแต่การวิปัสสนานั้นไม่เหมือนกัน เศษส่วน เศษอันนี้ยังเป็นใช้ประโยชน์โลกอยู่ แต่หัวใจดวงนั้นมีค่าเท่ากันในการเกิดและการตาย เพราะตั้งแต่วันที่สิ้นกิเลสนั้น มันตายตั้งแต่ตอนนั้น กิเลสนี้ตัวพาเกิดพาตายในวัฏฏะ สิ่งที่หมุนไปได้เพราะมันมีสิ่งที่เกาะเกี่ยว มียางเหนียวที่แปะ มีกาว ในใจนี้กิเลสนี้เกิดมาเป็นยางเหนียว มันปลิวไปติดกับอะไร กาวนี่กาวเหนียวปลิวไปติดกับอะไรมันก็ติดกับสิ่งนั้น สิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจ มันวนไปในวัฏฏะ มันติดกับอะไร พอมันวนไปในภพชาติไหนมันก็แปะตรงนั้นๆๆ ไป

แล้วสิ่งนี้มันไม่มีในหัวใจดวงนั้น ยางเหนียวไม่มีในหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นเหมือนกับสิ่งที่บริสุทธิ์ ลอยไปๆ ลอยไปอยู่ความว่างตลอด มันไม่มียางเหนียวที่แปะอยู่ นั่นน่ะวันที่กิเลสขาดออกจากใจคือวันที่ว่าไม่มีการเกิดและการตายอีกแล้ว

การตายในขณะที่ว่าสิ้นถึงขันธนิพพานนี้ มันแค่ปล่อยวางไปเฉยๆ หลุดออกไป ปล่อยวางไป สิ้นสุดกันเสียทีในการที่ว่าต้องเป็นภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระที่ต้องขับเคลื่อนไปในปกติของวิสัยมนุษย์ ความขับเคลื่อนไปของใจยังต้องขับเคลื่อนไปโดยภาระอย่างนี้ตลอดไป ถึงที่สุดแล้วปล่อยภาระทิ้งไป

แต่ถ้าเป็นปุถุชนกับเรานี้ เวลาตายไปๆ พร้อมกับขันธมาร ขันธ์นี้เป็นมาร เป็นทำให้เดือดร้อน ทำให้วุ่นวายไปในหัวใจ หัวใจจะดิ้นรนเดือดร้อนไปกับความกระวนกระวายของใจ นี่เวลาคนปกติตายไป ความเป็นห่วงใยทุกอย่างมันต้องห่วงใยทั้งหมด แต่เวลาถ้าพระอรหันต์สิ้นไม่สิ้นอย่างนั้น เพราะมันไม่มีมารอยู่แล้ว มันสะอาดมันอยู่แล้ว เพียงแต่ปล่อยวางให้หลุดพ้นออกไปจากภาระ

ความที่เป็นภาระกับความที่กดถ่วงของเราไม่เหมือนกัน ความกดถ่วงของเรา.. มันถึงว่าการตายไม่เหมือนกัน ปุถุชนตายหรือพระอรหันต์ตายต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่คนเหมือนกัน ใจเหมือนกัน ใจดวงหนึ่งที่สกปรก มียางเหนียวอยู่ในใจ ชำระจนสิ้นไป

นี่พระในหัวใจไง เราต้องสร้างพระ แล้วไม่ใช่ว่าพระหรือว่าครูบาอาจารย์เท่านั้นที่จะทำได้ ในใจของทุกดวงนี้ทำได้หมด เพราะใจดวงนี้มันสกปรก แต่มันมีใจอยู่ เห็นไหม แล้วใจดวงนี้สะอาดก็ใจดวงนี้ มันสกปรกได้มันก็สะอาดได้ มันชำระล้างได้ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ โอกาสของทุกคนมีทั้งนั้นเลย

ศาสนาพุทธนี่เสมอภาคเสมอภาคจริงๆ อยู่ที่ใครสามารถจะตักตวง ใครจะหยิบดึงศาสนาที่เป็นกลางนี้เข้ามาในหัวใจของตัว หัวใจที่สัมผัสนี้เป็นสมบัติส่วนตน เราอ่านพระไตรปิฎก เราอ่านตำรานั้นเป็นสมบัติของบุคคลคนนั้น เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสมบัติของครูบาอาจารย์แต่ละองค์มา แต่เป็นเทคนิคของแต่ละบุคคลที่ทำมาแล้วบอกวิธีการไว้

เราศึกษามาแล้วเราปฏิบัติตามขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเราเป็นนะ เป็นจริงตามที่ว่าข้อเท็จจริงในหัวใจมันเป็นจริง มันจะสะอาดขึ้นมาตามความเป็นจริงอันนั้น เพราะหัวใจเท่านั้นมันเป็นสิ่งที่สกปรก แล้วมันเป็นสิ่งที่ทำให้สะอาดได้

ถึงว่าเสมอภาคกันหมด เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วถ้าย้อนกลับมาตรงนี้ เรามีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากเพราะอะไร? เพราะว่าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราไม่ได้ศึกษา เราไม่ได้ปฏิบัติ มันต้องเกิดต้องตายโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าปฏิบัติแล้วคนเราเกิดมาเหมือนกัน เกิดมาทั้งหมด ตายทั้งหมด ตายแล้วต้องเกิดทั้งหมด เกิดนี้ไม่เกิดอีกแล้วยกเว้นพระอรหันต์...พระอนาคามีไปเกิดบนพรหม

นี่สิทธิของเราคือว่าเราตายแล้วเราไม่เกิดเหมือนเขา ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายทั้งหมด ตายแล้วต้องเกิดทั้งหมดตลอดไป อันนี้ตายทั้งหมดแต่ไม่เกิด กับตายทั้งหมดต้องเกิดอีก นี่ตรงนี้มันสำคัญที่ว่า มันถึงว่าเรื่องโลกนี้มันได้เฉพาะที่ว่าตายแล้วเกิดๆ แต่ธรรมนี้ตายแล้วไม่เกิด เกิดมาแล้วปฏิบัติจนถึงที่สุด ไม่เกิด มันถึงมีโอกาสมากกว่าเขา เราถึงตักตวงประโยชน์นี้เป็นของเราไง ใครจะเข้าใจ?

สร้างพระในใจ เราไปหวังพึ่งพระข้างนอก พระข้างนอกก็พึ่งได้เป็นผู้ชี้นำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “เราเป็นคนชี้นำเท่านั้น คนที่เดินถึงก็มี คนที่เดินไปครึ่งทางก็มี คนที่เริ่มเดินแล้วไม่เดินเลยก็มี”

ผู้ชี้คนเดียวกัน แต่ผู้ปฏิบัติไม่เหมือนกัน บางคนก็เดินไปสุดถึงซึ่งปลายทาง บางคนได้ครึ่งทาง บางคนไม่เดินเลยก็มี แต่เราเชื่อแล้วเราจะเดินไม่เดินนี้ นี่สร้างพระในใจ ใจของเราสร้างพระได้ สร้างขึ้นมาเป็นประโยชน์ของเราเอง เอวัง